วันที่
๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ได้รับเชิญจากกลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่
๖ จังหวัดเชียงใหม่ ให้ไปบรรยายพิเศษ ในงาน สัมมนาเชิงวิชาการ “ผลไม้ไทยในทศวรรษหน้า”
หัวข้อบรรยาย “สถานการณ์ผลไม้ในต่างประเทศและการเตรียมความพร้อมผลไม้ไทยสู่ AEC”
ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งในการบรรยาย มีพิธีเปิดช่วงเช้า ในงานมีนิทรรศการงานวิจัยลำไย
มีโอกาสเดินดูรอบๆงานก่อนที่จะขึ้นบรรยาย นับว่าได้องค์ความรู้มาบูรณาการให้สอดคล้องกับการตลาดต่างประเทศในปัจจุบันและอนาคตเมื่อเปิด
AEC
งานนี้ผู้ร่วมฟังมากกว่า
๓๐๐ คน มีทั้งเกษตรกร นักวิชาการที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่สนใจ เกินกว่าที่คาดต้องเสริมโต๊ะจนเต็มห้องประชุม
แม้จะเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูลำไยของ 8 จังหวัดภาคเหนือ
แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ตื่นตัว กับการผลิตลำไยนอกฤดูกันมาก ดูแล้วให้รู้สึกแตกต่างจากที่เคยไปบรรยาย
ได้เดินทักทายเกษตรหลายกลุ่มหลายจังหวัด รับรู้ว่า กลุ่มเกษตรกรให้ความสนใจการผลิตลำไยนอกฤดู
ที่ขายได้ราคาไม่ต้องพึงพาภาครัฐ อบอุ่นและน่ายินดีที่เกษตรกรไทยตื่นตัวกับผลไม้ที่ตัวเองผลิต
เดินทางมาจากหลายจังหวัดทั้งใกล้ ไกล ไม่ว่าจะเป็น ๘ จังหวัดภาคเหนือที่ผลิตลำไย
หรือนอกเขตที่เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญอย่าง จันทบุรี ตาก ฯลฯ สนทนากับเกษตรกรเหล่านั้นอย่างเป็นกันเอง
หลากหลายแนวคิด หลายคนประสบปัญหา หลายกลุ่มประสบความสำเร็จอย่าสนใจ ได้ประเด็นน่าสนใจ
ผมจะเล่าให้ฟัง
ก่อนจะเหล่าให้ฟัง
ขอเอาตัวเลขที่น่าสนใจมาประกอบเพื่อให้เห็นภาพจริงก่อนว่า ทำไมการปลูกลำไยภาคเหนือจึงเกิดปัญหามานานจนกลายเป็นปัญหาการเมือง
เกษตรยังคงยากจน ต้องรอความช่วยเหลือจากภาครัฐ ฝ่ายการเมืองพยายามชูนโยบายช่วยเหลือประกันราคา
ชดเชย ขยายตลาด ที่สุดเกษตรกรก็ยังคงทุกข์ยากมาโดยตลอด
ไหนจะเงินงบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ระบบเบิกจ่ายที่ใช้เวลา
กฎระเบียบที่ปฏิบัติได้ยาก ที่สุดกว่าเงินจะออกของก็หมด หรือที่โบราณกล่าว “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”
ได้รับเงินถึงมือเกษตรกรเหลือไม่เท่าไร อย่างไรก็ขาดทุน
เกษตรกรจึงไม่อยากพัฒนาคุณภาพปล่อยตามยถากรรม ผลผลิตที่ออกมายิ่งแย่ลง
อัตราการผลิตต่อไร่น้อยลง แรงงานหายาก ปุ๋ย ยา สารเคมี ขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง ทุกปี
แต่ราคาขายกลับสวนทาง ได้เท่าเดิมมานานกว่า ๒๐ ปี ดังนั้น เมื่อผลผลิตต่อไรต่ำ
ต้นทุนสูง ขายได้ราคาเท่าเดิม ก็แสดงว่าราคาที่ได้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน(มานาน)
คุณภาพด้อยลง ถูกกดราคา ปัจจัยเหล่านี้ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมืองเพื่อเข้าช่วยเหลือสร้างและรักษาฐานเสียง
ที่สุดเงินงบประมาณถูกนำมามาใช้ประกันราคา(ลำไยอบแห้ง)เข้าเก็บในสต็อก
และนำออกขายจากภาครัฐที่ไม่ใช่มืออาชีพ ขายถูกบ้างแพงบ้าง มีค่าใช้จ่ายจิปาถะ
ที่สุดสรุปรวมความว่า ขาดทุน ขายออกไม่หมดเก็บไว้กลายเป็นของเสีย ตัดเป็นหนี้สูญ
แล้วโยนความผิดไปเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการและเกษตรกร นักการเมืองรอยตัว รวยไปตาม
ๆ กัน นี่แหละเป็นที่มาของลำไย ผลไม้เศรษฐกิจการเมือง
เมื่อมองถึงพื้นการผลิต
และผลผลิตประมาณการพื้นที่ปลูกลำไยทั้งประเทศในปี 2555 มีจำนวน 990,522ไร่ ผลผลิตรวม 812,167 ตัน เฉลี่ยผลผลิต 820 กก.ต่อไร่ ในขณะที่แห่งผลิตใหญ่ที่สุดอยู่ใน
8 จังหวัดภาคเหนือ พื้นที่ประมาณ 835,561 ไร่ ผลผลิต 604,497 ตัน ผลผลิตเฉลี่ย 723 กก.ต่อไร่ ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตใน 8 จังหวัดภาคเหนือที่มีผลผลิต
มากกว่าร้อยละ 74 ของผลผลิต และกระจุกตัวในช่วงเดือน สิงหาคม-กันยายน
ของทุกปี โดยเฉพาะเดือนสิงหาคม จะมีผลผลิตกระจุกตัวมาก ถึง ๑๐๗,๙๕๐ ตัน(๒๕๕๔)
เปรียบเทียบประสิทธิภาพการผลผลิตเฉลี่ยต่อไรใน 8 จังหวัดภาคเหนือมีอัตราผลผลิตเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยทั้งประเทศ(820
กก/ไร่) เปรียบเทียบกับจังหวัดในภาคกลาง แล้วจะเห็นได้ว่า
ผลผลิตยังต่ำกว่ามาก(ภาคกลาง 2,377 กก./ไร่) หรือเทียบกับจังหวัดจันทบุรี
ซึ่งเป็นจังหวัดที่สามารถผลิตลำไยได้เฉลี่ยสูงที่สุดในขณะนี้(2,467/ไร่) ในขณะที่ส่งออกผลผลิตลำไยรวม
ในปี ๒๕๔๔ มีผลผลิต ๕๕๖,๖๒๘ ตัน ช่วง ม.ค.-ส.ค.มีผลผลิต ๓๓๐,๑๕๒ ตัน ในปี ๒๕๕๕ ตั้งแต่ต้นปี
ถึงเดือนสิงหาคม ผลผลิตรวม ๓๗๔,๘๒๔ ตัน เทียบเวลาเดียวกัน ปี ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้น
เฉลี่ยประมาณร้อยละ ๑๒ และประมาณการจนถึงสิ้นปี น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ ๔๑๙,๘๐๒
ตัน จะเห็นชัดเจนว่าปริมาณที่ผลิตได้กับยอดขายไม่สอดคล้องกัน
ดังนั้น ภาวะล้นตลาดจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ราคาจึงตกลงตามกลไกตลาด
ลำไย :
เปรียบเทียบเนื้อที่ให้ผล ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ ภาคเหนือ และรายจังหวัด ปี 2554 กับปี 2555
ประเทศ/ภาค/จังหวัด
|
เนื้อที่ให้ผล
|
ผลผลิต
|
ผลผลิตต่อไร่
|
|||||||||
(ไร่)
|
(ตัน)
|
(กิโลกรัม)
|
||||||||||
2553
|
2554
|
2555
|
%
+ /-
|
2553
|
2554
|
2555
|
%
+ /-
|
2553
|
2554
|
2555
|
%
+ /-
|
|
รวมทั้งประเทศ
|
954,574
|
967,772
|
990,522
|
2.35
|
525,230
|
772,099
|
812,167
|
5.19
|
550
|
798
|
820
|
2.76
|
ภาคเหนือ
|
852,442
|
852,765
|
870,545
|
2.08
|
394,252
|
593,439
|
619,837
|
4.45
|
462
|
696
|
712
|
2.30
|
ภาคตะวันออก/เหนือ
|
50,621
|
49,004
|
48,827
|
-0.36
|
19,098
|
22,571
|
23,180
|
2.70
|
377
|
461
|
475
|
3.04
|
ภาคกลาง
|
51,511
|
66,003
|
71,150
|
7.80
|
111,880
|
156,089
|
169,150
|
8.37
|
2,172
|
2,365
|
2,377
|
0.51
|
เชียงราย*
|
121,971
|
121,430
|
120,337
|
-0.90
|
46,609
|
48,693
|
50,460
|
3.63
|
382
|
401
|
419
|
4.49
|
พะเยา*
|
54,423
|
56,603
|
56,211
|
-0.69
|
16,250
|
20,377
|
29,346
|
44.02
|
299
|
360
|
522
|
45.00
|
ลำปาง*
|
26,979
|
26,672
|
25,784
|
-3.33
|
1,253
|
4,694
|
6,626
|
41.16
|
46
|
176
|
257
|
46.02
|
ลำพูน*
|
251,603
|
253,040
|
269,115
|
6.35
|
136,341
|
204,445
|
208,402
|
1.94
|
542
|
808
|
774
|
-4.21
|
เชียงใหม่*
|
303,783
|
304,770
|
308,074
|
1.08
|
152,346
|
265,456
|
276,342
|
4.10
|
501
|
871
|
897
|
2.99
|
แม่ฮ่องสอน
|
2,585
|
2,646
|
2,707
|
2.31
|
1,336
|
1,580
|
1,650
|
4.43
|
517
|
597
|
610
|
2.18
|
ตาก*
|
16,316
|
16,316
|
19,116
|
17.16
|
13,310
|
14,609
|
13,458
|
-7.88
|
816
|
895
|
704
|
-21.34
|
กำแพงเพชร
|
10,017
|
9,920
|
10,060
|
1.41
|
3,376
|
3,978
|
4,150
|
4.32
|
337
|
401
|
413
|
2.99
|
สุโขทัย
|
6,255
|
6,101
|
6,217
|
1.90
|
2,483
|
2,569
|
2,780
|
8.21
|
397
|
421
|
447
|
6.18
|
แพร่*
|
7,687
|
7,437
|
5,481
|
-26.30
|
2,800
|
3,681
|
2,947
|
-19.94
|
364
|
495
|
538
|
8.69
|
น่าน*
|
34,165
|
31,905
|
31,443
|
-1.45
|
12,324
|
16,718
|
16,916
|
1.18
|
361
|
524
|
538
|
2.67
|
อุตรดิตถ์
|
8,530
|
7,883
|
8,190
|
3.89
|
2,678
|
2,988
|
3,140
|
5.09
|
314
|
379
|
383
|
1.06
|
พิษณุโลก
|
8,128
|
8,042
|
7,810
|
-2.88
|
3,146
|
3,651
|
3,620
|
-0.85
|
387
|
454
|
464
|
2.20
|
เลย
|
25,391
|
25,172
|
24,617
|
-2.20
|
9,572
|
12,259
|
12,230
|
-0.24
|
377
|
487
|
497
|
2.05
|
หนองบัวลำภู
|
5,405
|
4,740
|
4,677
|
-1.33
|
2,103
|
2,119
|
2,170
|
2.41
|
389
|
447
|
464
|
3.80
|
อุดรธานี
|
5,604
|
5,418
|
5,572
|
2.84
|
1,597
|
1,896
|
2,020
|
6.54
|
285
|
350
|
363
|
3.71
|
หนองคาย
|
4,198
|
4,110
|
4,263
|
3.72
|
1,814
|
2,018
|
2,230
|
10.51
|
432
|
491
|
523
|
6.52
|
ยโสธร
|
574
|
531
|
580
|
9.23
|
154
|
156
|
180
|
15.38
|
268
|
294
|
310
|
5.44
|
อุบลราชธานี
|
1,767
|
1,635
|
1,711
|
4.65
|
885
|
907
|
990
|
9.15
|
501
|
555
|
579
|
4.32
|
ศรีสะเกษ
|
2,334
|
2,455
|
2,289
|
-6.76
|
714
|
847
|
820
|
-3.19
|
306
|
345
|
358
|
3.77
|
ชัยภูมิ
|
3,349
|
2,929
|
2,998
|
2.36
|
1,088
|
1,046
|
1,090
|
4.21
|
325
|
357
|
364
|
1.96
|
นครราชสีมา
|
1,999
|
2,014
|
2,120
|
5.26
|
1,171
|
1,323
|
1,450
|
9.60
|
586
|
657
|
684
|
4.11
|
สุพรรณบุรี
|
1,535
|
1,018
|
1,299
|
27.60
|
809
|
561
|
730
|
30.12
|
527
|
551
|
562
|
2.00
|
สระแก้ว
|
1,312
|
1,325
|
1,392
|
5.06
|
705
|
774
|
840
|
8.53
|
537
|
584
|
603
|
3.25
|
จันทบุรี
|
47,960
|
62,928
|
67,801
|
7.74
|
110,068
|
154,425
|
167,270
|
8.32
|
2,295
|
2,454
|
2,467
|
0.53
|
สมุทรสาคร
|
336
|
364
|
300
|
-17.58
|
143
|
166
|
140
|
-15.66
|
426
|
456
|
467
|
2.41
|
นครปฐม
|
368
|
368
|
358
|
-2.72
|
155
|
163
|
170
|
4.29
|
421
|
443
|
475
|
7.22
|
8 จว. ภาคเหนือ
|
816,927
|
818,173
|
835,561
|
2.13
|
381,233
|
578,673
|
604,497
|
4.46
|
467
|
707
|
723
|
2.26
|
หมายเหตุ 8 จังหวัดภาคเหนือ ข้อมูลคณะทำงานสำรวจข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจ
ภาคเหนือ 25 เม.ย.55
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ที่เอารายละเอียดดังกล่าวมาเล่าให้ฟังก็เพื่อจะให้เห็นว่าการผลิตลำไยในฤดูกาล
กระจุกตัว ระหว่างเดือน สิงหาคม-กันยายน ปริมาณก็ล้นตลาด ความต้องการของผู้บริโภคและตลาดใหญ่อย่างจีน
อินโดนีเซีย และเวียดนาม เต็มไปด้วยลำไยที่ขนไปขาย ราคาจึงตกลงอย่างน่าใจหาย
ถูกกดราคา ที่สุดภาครัฐต้องลงมาช่วยเหลือ ถึงบ้างไม่ถึงบ้าง ปัญหาเกิดขึ้นอย่างนี้มาโดยตลอด
คำถามง่าย ๆ คือ ลำไยปลูกได้ทั่วไป
สามารถบังคับให้ออกดอกได้ง่ายกว่ามะม่วง หรือผลไม้อื่น ๆ
อายุตั้งแต่ออกดอกจนถึงระยะเวลาการเก็บเกี่ยวประมาณ 7 เดือน ตลาดส่วนใหญ่สอดคล้องกันทั้งภายในและภายนอก คือ ช่วงเดือนปลายกันยายน ต้นเดือนตุลาคม ตรงกับวันชาติจีน
หรือช่วงไหว้พระจันทร์(ลำไยของไทยหมดพอดี) ช่วงเดือนธันวาคม เทศกาลปีใหม่สากล ช่วงเดือนมกราคม กุมภาพันธุ์ เทศกาลตรุษจีน
ช่วงเดือนมีนาคม วันเช็งเม้ง(วันไหว้บรรพบุรุษ)
ทั้งสี่ช่วง เป็นช่วงที่ลำไยจากทั่วประเทศมีน้อย ในขณะที่ความต้องการมีมาก ต่างกับในช่วงกรกฎาคม
สิงหาคม กันยายน(กลางเดือน) ไม่มีเทศกาลใด ๆ รองรับ เกษตรกรควรวางแผนแบ่งการผลิตให้ครอบคลุมทั้งสี่ช่วงเพื่อกระจายความเสี่ยง
หากมีความสามารถในการผลิตได้ คุณภาพดี ผลใหญ่ ด้วยแล้ว รับรองว่าผู้รวบรวม ล้ง
ผู้ส่งออกวิ่งแย่งกันซื้อ แย่งกันจองตั้งแต่เป็นดอกด้วยซ้ำ อยู่จังหวัดไหน
ไกลแค่ไหนก็ขายได้
ทุกวันนี้จันทบุรีถูกนำมากล่าวถึงและใช้เป็นโมเดลในการผลิตลำไย
หากย้อนดูในการผลิตของเกษตรกรแล้วจะเห็นว่าเขาเหล่านั้นเป็นเกษตรกรที่มีทรัพยากรที่มีความพร้อม
คือพร้อมด้านองค์ความรู้ในการผลิตลำไย มีทรัพยากรด้านบุคคลากรดี มีทุนดี
มีความเข้าใจเรื่องของตลาดอย่างชัดเจน จึงวางแผนการผลิตได้ตรงกับความของตลาดหลัก
อย่าง จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม จันทร์บุรีจึงเป็นทางออกในการแก้ไขลำไยของประเทศ
ได้ทั้งคุณภาพ ปริมาณ เวลาที่ไม่ตรงกับช่วงกระจุกตัวของทุกปี 8 จังหวัดภาคเหนือ เกษตรกรหลายกลุ่มจึงใช้จันทบุรีเป็นรูปแบบในการผลิต
และได้ผลคุ้มค่ากับการลงทุน
ความสำคัญของความสำเร็จ
ต้องอาศัยรวมกลุ่มและพัฒนาตนเองให้ก้าวสู่ เกษตรกรมืออาชีพ ที่มีความพร้อม คือ
มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และประสบการณ์ ในการผลิตลำไย โดยยึดโยงกับช่วงความต้องการตลาดหลัก
ๆ ดังกล่าวเป็นสำคัญ ศึกษา ค้นคว้าหาองค์ความรู้ที่ถูกต้อง ถ่ายทอดให้สมาชิกกลุ่ม
หาแหล่งเงินทุน และแหล่งปุ๋ย สาร ยา และเคมี ที่มีคุณภาพ ราคาเป็นธรรม โดยเริ่มจากการรวมกลุ่มเล็ก
ๆ ที่สมาชิกมีแนวความคิดและเข้าใจระบบตลาดร่วมกัน เสียสละ ทุ่มเท ซื่อสัตย์
รับผิดชอบ(หลักคุณธรรม และจริยธรรม)
มาร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ที่สามารถศึกษาได้จากหน่วยงานภาครัฐ
และมหาวิทยาลัยที่ได้ดำเนินการพัฒนาและวิจัยมายาวนาน พัฒนาเรื่องของคุณภาพ
ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร ให้สูงขึ้น วิธีลดต้นทุนการผลิตในช่วงนอกฤดูกาลอย่างชาญฉลาด
เช่นการตัดแต่งกิง การใช้สารอย่างถูกวิธี(ตรวจสอบความบริสุทธิ์)
การใส่ปุ๋ย(ตรวจสอบสารอาหารในดินและพืช)
และใช้วิธีการผลิตแบบแบ่งส่วนในช่วงความต้องการเพื่อลดความเสี่ยง เพื่อมีรายได้สม่ำเสมอทั้งปี
และมีงานทำทั้งปี ปัญหาเรื่องแรงงานจะลดลง คนงานเกิดทักษะ ความชำนาญ มีประสบการณ์ในการผลิต
ผลผลิตมีคุณภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขายได้ราคาสูง
แบ่งปันรายได้ให้คนงานอย่างเป็นธรรม การผลิตและขายลำไยจะเติบโตขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
เกิดความสุขในครอบครัว องค์กร กลุ่ม ชุมชน ขยายตัวสู่จังหวัด และประเทศในที่สุด
ผมได้พูดคุยกับเกษตรหลายกลุ่มและยิงคำถามที่สำคัญว่า
ลำไยทำนอกฤดูได้หรือไม่ ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทำได้”
แต่ทำไปแล้วขายได้ราคาไม่คุ้มทุน จึงไม่มีกำลังใจทำต่อ
ฟังแล้วให้เกิดความรู้สึกว่า ถ้าราคาขายสูง เกษตรกรมีความสามารถทำได้
การที่จะให้ได้ราคาสูงคุ้มค่าจำเป็นต้องรู้หลักการของการตลาดให้ชัดเจน อันนี้เป็นโจทย์ที่หาคำตอบได้ไม่ยาก
แต่ทำไมไม่ทำ คำตอบง่าย ๆ ที่ได้รับจากบางกลุ่มกลับพบว่า ทำยากกว่าภาวะปกติฤดูกาล
ที่ไม่ต้องทำอะไร ลำไยออกดอกติดผล ส่วนจะมากน้อยเพียงใด
ก็อาศัยธรรมชาติเป็นผู้มอบให้
เกษตรกรไม่ต้องการทำงานยาก ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องลงทุนมาก คำตอบคือ คือได้ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ
ปริมาณมากน้อย(ผลผลิตต่อไร่) เมื่อเกษตรส่วนใหญ่ปล่อยให้เป็นไปแบบธรรมชาติผลผลิตก็ออกมาตรงกันสภาวะกระจุกตัวจนล้นตลาด
ผลผลิตไม่มีคุณภาพ จึงเกิดขึ้น ราคาตก รัฐจึงต้องเข้าช่วยเหลือ ช่วยแบบให้เปล่า
ให้มากก็ไม่ได้ เพราะนี่คือเงินภาษีประชาชน ให้น้อยก็ถูกประท้วง
เพราะเป็นฐานเสียงของนักการเมือง ปัญหาจึงเกิดอย่างที่เห็น กลายเป็นยากจนซ้ำซาก
การผลิตลำไยนอกฤดูมีเทคนิคที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ
การนำหลักการบริหารจัดการในเรื่องของการตลาดเป็นตัวนำ และการลดความเสี่ยงในการผลิต
ที่ต้องวางแผนผลิตแบ่งเป็นช่วง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยใช้ช่วงเวลาเทศกาลสำคัญของจีน(ตลาด)
และใช้การบริหารการผลิตให้สอดคล้อง ในช่วงให้สารเดือนมีนาคม เก็บผลผลิตเดือนกันยายน ตรงกับงานชาติจีน ช่วงให้สารเดือนเมษายน เก็บผลผลิตเดือนธันวาคม
เทศกาลปีใหม่สากล ช่วงให้สารเดือนมิถุนายน เก็บผลผลิตเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ ก่อนเทศกาลตรุษจีน
และ ช่วงให้สารเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม เก็บผลผลิตเดือนมีนาคม
วันเช็งเม้ง(ไหว้บรรพบุรุษ)
นอกจากการใช้ตลาดเป็นตัวนำแล้วสิ่งสำคัญอื่น ๆ ที่ละทิ้งไม่ได้ คือ การผลิตลำไยนอกฤดูต้องมีแหล่งน้ำเพียงพอ
เพราะความสมบูรณ์ของต้นลำไย และการแบ่งทำเป็นรุ่น ๆ
หากมีน้ำน้อยควรคำนึงถึงปริมาณน้ำที่มีอยู่เป็นสำคัญ
อย่าผลิตเกินกว่าปริมาณน้ำที่มี เพราะจะทำให้ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ หรือวางแผนขยายปริมาณการกักเก็บน้ำให้เพียงพอกับปริมาณความต้องการของลำไย
จะช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพที่ส่งผลโดยตรงต่อราคาได้เป็นอย่างดี
การเตรียมต้นลำไยยังเป็นหัวใจของการผลิต
โดยเฉพาะการตัดแต่งกิ่งที่นิยม มี
2 รูปแบบ คือ ทรงเปิดกลางทรงพุ่มและทรงฝาชีหงาย ความสูงประมาณ 2.5-3.0
เมตร ข้อดีของการตัดแต่งกิ่ง
คือ ต้นเตี้ยการเก็บเกี่ยวและการจัดการง่าย
ทรงพุ่มโปร่งลดโรคและแมลงระบาด การตอบสนองต่อสารโพแทสเซียมคลอเรตดี
ออกดอกติดผลมาก ผลโตสม่ำเสมอ
ตัดแต่งกิ่งแล้ว ควรให้ แตกใบอ่อน 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย
ถึงจะกระตุ้นการออกดอก
เมื่อใบเริ่มแก่จึงเริ่มให้สารโพแทสเซียมคลอเรต โดยต้องวิเคราะห์ตรวจสอบความบริสุทธิ์ของสารคลอเรตก่อน เพื่อให้แน่ใจได้ว่าเป็นสารที่บริสุทธิ์
ทำให้กำหนดปริมาณสารได้ถูกต้อง และไม่เกิดปัญหากับการออกดอกของลำไยตามมาภายหลัง
เพราะถ้าหากไม่บริสุทธิ์จะทำให้ลำไยออกดอกไม่สม่ำเสมอ เฉลี่ยทำให้ต้นทุนสูง กว่าจะรู้ต้องรอถึง 25 วันขึ้นไปกว่าลำไยจะแทงช่อดอก
วิธีการให้สารโพแทสเซียมคลอเรตใช้อายุของต้นเป็นหลัก
ทำความสะอาดภายในทรงพุ่ม หวานสารคลอเรตในทรงพุ่มและรดน้ำตามให้สารละลายหมด ช่วงเวลาราดสารควรใช้ช่วงตอนเช้าให้ผลดีที่สุด หลังจาก 25 วัน ลำไยจะเริ่มแทงช่อดอกให้เห็น
การให้ปุ๋ย
จำเป็นต้องเก็บตัวอย่างดินวิเคราะห์ธาตุอาหารของดินและพืช
เพื่อใส่ปุ๋ยได้ถูกต้องประหยัดค่าใช้จ่าย โดยใส่ปุ๋ยช่วงหลังตัดแต่งกิ่ง ให้ปุ๋ยยูเรียและปุ๋ยคอกหรือสูตรตัวหน้าสูง
สูตร 28-7-7 ในช่วงการแตกใบอ่อนแต่ละครั้ง
ให้ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15-15-15 และเมื่อติดผลเท่าหัวไม้ขีดไฟให้ใส่สูตรเสมอ สูตร
15-15-15 และเมื่อเมล็ดเริ่มเปลี่ยนสีจากขาวเป็นน้ำตาลให้ใส่สูตรตัวหลังสูง
สูตร 13-13-21
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น