เดือนมีนาคม
๒๕๕๖ ผ่านพ้น ครบ ๓
ปีของมาตรควบคุมพิเศษระบบบัญชีรายชื่อโรงคัดบรรจุ(Establishment List : EL)
ที่ใช้ในการขอและออกใบรับรองสุขอนามัยพืชสำหรับสินค้าผักผลไม้สดส่งออกไปสหภาพยุโรป
นอร์เวย์และสหพันธรัฐสวิส เมษายน ๒๕๕๖ มีบริษัทผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์
จากจำนวนที่ยื่นขอ EL จำนวน ๒๘ โรงคัดบรรจุ ผ่านเกณฑ์และได้รับอนุญาตจำนวน
๒๑ บริษัท ๒๒ โรงคัดบรรจุ มีแปลงที่ผ่านการประเมิน ๓๙๖ แปลง ดูตัวเลข แล้วภาคภูมิใจในความสำเร็จกับมาตรการดังกล่าว
แสดงผลงานให้เห็นเป็นตัวเลข ว่าส่งออกไปสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
แต่กลุ่มเกษตรกร ผู้ส่งออก รวมถึงโรงคัดบรรจุ กลับมีตัวเลขตรงกันว่าการส่งออกในพืช
EL ลดลง มากกว่า ๖๐ % จากก่อนเกิดมาตรการควบคุมพิเศษ
ผู้ประกอบการและเกษตรกรในเครือข่าย กำลังเผชิญปัญหาที่ไม่สามารถก้าวเดินต่อได้ในเชิงพาณิชย์
อดทนเพื่อรอความหวังว่า อาจจะมีนวัตกรรมใดมาช่วยบรรเทา หรือมีวิธีการกำจัดแมลงศัตรูพืชที่สามารถใช้ในเชิงพาณิชย์ได
อีกไม่นาน คงได้เห็นผู้ประกอบการ โรงคัดบรรจุ เกษตรกรเครือข่าย ล้มเลิกกิจการการส่งออกผักผลไม้สดไปสหภาพยุโรป
เลิกทำแปลง EL เร็ว ๆ นี้ เพราะทนต่อสภาพการขาดทุนอย่างต่อเนื่องไม่ไหว...
สหภาพยุโรปมีสมาชิกมากถึง ๒๗
ประเทศรวมนอร์เวย์และสหพันธรัฐสวิส อีก ๒ ประเทศ รวมเป็น ๒๙ ประเทศ แม้ว่าจะมีกำลังการซื้อสูง
และมีความต้องการ ผักผลไม้จากเมืองไทย ทั้งร้านอาหารไทย เวียดนาม อินเดีย จีน ร้าน
ห้างที่ขายผักผลไม้สด ที่มีกระจัดกระจายไปทุกมุมของประเทศเหล่านี้ก็ตามที
แต่เมื่อรวมปริมาณการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป เมื่อเทียบกับพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว
ยางพารา อ้อย หรือแม้จะเปรียบเทียบกับผลไม้เศรษฐกิจ อย่างลำไย ทุเรียน มังคุด
ที่ส่งขายไปทั่วโลก ดูเหมือนจะห่างไกลจากความเป็นจริง เพราะเป็นปริมาณน้อย
น้อยจนไม่น่าสนใจ จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจจากผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจ
แม้ว่าหลายคนจะยกเอานโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกขึ้นมาเป็นประเด็นแก้ต่าง แต่ไม่สำเร็จ เพราะจำนวนที่กล่าวนั้นยังห่างไกลจากความเป็นจริง
ผู้ประกอบการ และเกษตรกรกลุ่มนี้จึงเป็นเกษตรกรนอกสายตา ไม่มีใครเหลียวแล
แม้แต่มีสมาคมที่เข้าไปเป็นคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ก็ยังดูเหมือนว่าอ่อนแอเพราะทีมงานสมาคมก็ดี
ผู้ประกอบการก็ดี ล้วนแต่เป็นนักธุรกิจที่เข้าใจระบบการค้าในเชิงพาณิชย์ แต่ทีมงานภาครัฐ คือผู้ออกกฎระเบียบ
กำกับดูแลออก ล้วนแล้วแต่มีความชำนาญเฉพาะด้านประชุมกันก่อนได้ข้อสรุป แล้วจึงนัดประชุมคณะกรรมการร่วม
ที่ไม่มีการแจ้งล่วงหน้าให้เตรียมตัว วันนี้แม้ว่าจะมีคณะกรรมร่วมภาครัฐเอกชน
เข้าร่วมประชุม จึงดูเหมือนการเข้าไปนั่งประชุมแต่ละครั้ง กลายเป็นการสนับสนุนข้อเสนอที่จะสร้างเป็นกฎระเบียบอย่างต่อเนื่องโดยผ่านการรับรู้และอ้างอิงได้อย่างสมบูรณแบบอย่างไม่มีทางเลือก
การประชุมแก้ไขของภาครัฐและภาคเอกชนที่ดำเนินการมาตลอดระยะเวลากว่า
๑ ปี มีเพียงมาตรการที่เพิ่มเติม อย่างต่อเนื่อง จากหน่วยงานทั้งในและนอกประเทศ
เพื่อควบคุมพืชผักผลไม้และดอกไม้ มากถึง ๕๘ ชนิด(
มาตรการควบคุมพิเศษ,พืชที่ต้องตรวจสารพิษตกค้าง ตรวจเชื้อจุลินทรีย์
พืชควบคุมเฉพาะ Regulated
Plants ของ EU,ของไทย
พืชที่ต้องรับรองพิเศษหน้าด่าน,พืชเฝ้าระวังพิเศษหน้าด่าน:ดูรายละเอียดเอกสารแนบ)
และอาจจะเพิ่มเติมพืชผักและผลไม้ที่มีสถิติการตรวจพบบ่อยครั้ง อย่าง ชมพู่ มะม่วง
และฝรั่ง ที่กำลังรอเข้าเป็นพืชที่ต้องเข้ามาตรการควบคุมพิเศษ EL และที่สุดแนวโน้มอนาคตอันใกล้
คงเข้าสู่มาตรการพิเศษ ELทุกตัว ในขณะที่มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ส่งออก
และโรงคัดบรรจุ ยังคงใช้ระบบ ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของหลักวิชาการ
สวนทางกับหลักการปฏิบัติการในเชิงพาณิชย์อย่างสิ้นเชิง ประเทศไทยเดิน ตามคำแนะนำของสหภาพยุโรป
เสมือนนักเรียนดี ที่เชื่อฟังครู ในขณะที่ ประเทศเพื่อนบ้านยังคงอาศัยช่องว่างที่มาตรการดังกล่าวยังไม่ใช้กับประเทศเหล่านั้น
ส่งขายอย่างต่อเนื่อง ผู้ส่งออกในไทย ดิ้นรนหาทางออกเพื่อให้ธุรกิจตัวเองอยู่รอดในช่วงเปลี่ยนแปลง(๓
ปี เต็ม) ทนต่อคำครหาว่าเห็นแก่ตัว ทำลายชื่อเสียงของประเทศ
ส่งผ่านประเทศเหล่านั้น เพราะอย่างไรปลายทางก็ทราบว่ามาจากเมืองไทย
ผู้ประกอบการ โรงคัดบรรจุ
ที่เป็นเด็กดี ตั้งหน้าตั้งตาแก้ไข บนพื้นฐานของ การจัดทำ EL ที่มีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว
ในขณะที่ค่าแรงงานขยับขึ้นเป็น ๓๐๐ บาท ค่าเงินบาทแข็งตัวมากที่สุดในภูมิภาค
โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งที่สำคัญ ต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้น ค่าปุ๋ย
สารเคมี ท้ายที่สุดภาวะเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำโดยเฉพาะคู่ค้าอย่างสหภาพยุโรป ผู้ประกอบการเผชิญปัญหา
ดิ้นรนเพื่อหาทางออก ดิ้นรนเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด ในขณะที่มาตรการต่าง ๆ
เขม็งเกลียวขึ้นทุกวัน ที่สุด ยอดขายที่เคยส่งออกลดลงมากกว่า ๖๐ เปอร์เซ็นต์
รายได้ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ต้นทุนสูงขึ้น ราคาการแข่งขันที่มีต้นทุนที่แตกต่างกัน
ผลผลิตที่ส่งน้อยลง เป็นแรงจูงใจให้ประเทศเพื่อนบ้านเร่งผลิตเพื่อทดแทน
ประเทศในสหภาพยุโรปที่มีภูมิอากาศใกล้เคียงเร่งเพาะปลูกเพื่อทดแทนสินค้าที่เคยครองตลาดจากประเทศไทย
เนื่องจากพืชผักเหล่านี้ใช้เวลาเพาะปลูกเพียง ๔๕ วัน
สายพันธุ์นำเข้าจากไทยที่แสนง่ายดาย ทั้งคนไทย คนเอเชีย
แม้แต่คนในประเทศในสหภาพยุโรป กลายเป็นเกษตรกรทดแทน เกษตรกรไทยที่เคยผลิตส่งออกขาย เข้าแทนที่สินค้ายอดนิยมอย่าง
พริก กะเพรา โหรพา มะเขือ ถั่ว และไม่ช้าไม่นานนี้ เขาสามารถปลูกตะไคร้ได้
เมื่อนั้นผู้ส่งออกไทยก็ดูเหมือนไม่เหลือพืชผักไทยอะไรให้ได้ส่งไปขายสหภาพยุโรป
มีเพียงสินค้าที่ผลิตในสหภาพยุโรปวางเกลื่อนตลาด แล้วอะไรจะเกิดขึ้น...
ปัญหา วันนี้เริ่มเห็นพริก โหรพา
กะเพาจากสเปน ที่วางขายในซุปเปอร์มาเกต เห็นพริกจากเยอรมันที่มีรูปลักษณ์
และรสชาติใกล้เคียงกับเมืองไทย
เห็นพริกจากเวียดนามที่เป็นสายพันธุ์แท้ที่มาจากเวียดนาม
และที่เป็นสินค้าส่งผ่านประเทศเหล่านั้นเข้าไปขายในราคาถูกว่าต้นทุนที่เด็กดีอย่างที่ผู้ประกอบการและเกษตรกรที่ตั้งใจทำส่งมาขาย
เห็นสินค้าที่มีลักษณะเหมือนสินค้าที่มาจากไทย แต่มีแหล่งกำเนิดจาก มาเลเซีย
จากเวียดนาม จากกรรมภูชา จากลาว มันเกิดอะไรขึ้นกับสินค้าที่มาจากประเทศไทย
จะแก้ไขอย่างไร ก่อนที่ผักผลไม้จากประเทศไทยที่เคยโดดเด่นในสหภาพยุโรป จะกลายเป็นตำนานที่กล่าวขานกันในอนาคตอันใกล้นี้
นโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก
เป็นนโยบายที่ดี และเหมือนทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งที่ผลิตอาหารสำคัญของโลก ท่ามกลางการแข่งขัน
อย่างรุนแรง แต่ไม่มีมาตรการช่วยเหลือสนับสนุนในเชิงธุรกิจ แต่กลับออกมาตรการต่าง
ๆ เพื่อกำกับดูแลจนเกษตรกร และผู้ประกอบการจนตกอยู่ในภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง บางคนกล่าวว่า
ผู้ประกอบการมีฐานะดี ได้กำไรต่อหน่วยสูง คนเหล่านั้นไม่รู้ข้อมูลที่เป็นจริง
ลืมคิดไปว่า ตัวอย่าง ซื้อพริกแดงมากิโลละ ๖๕ บาท คัดคุณภาพ(คัดทิ้ง) ต้นทุนเพิ่มเป็น
๘๕ บาท แล้ว ค่าตรวจสาร ตรวจเชื้อ ค่าจัดทำ EL กว่า ๑๕๐ บาทต่อกก. ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าแรงงาน ค่าน้ำค่าไฟ
ค่าเงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกไม่น้อยกว่า ๔๐ บาท ค่าขนส่ง กก.ละกว่า
๑๒๐ บาท ค่ากระจายสินค้าปลายทางคิด ๒๕ % ค่าใช้จ่ายบวกกำไรของห้างสรรพสินค้าอีก
๒๕ % ราคาขายปลีก
กว่า ๖๐๐ บาท ใครไปเที่ยวยุโรปเห็นราคาพริกแดงที่มาจากเมืองไทย ตกใจ
กลับมาคุยว่าผู้ส่งออก พ่อค้าคนกลางกดราคาเกษตรกร ผู้ประกอบการได้กำไรมากมาย แท้ที่จริงกำไรผุ้ประกอบการอยู่ที่
๓-๕ % กว่าจะได้กำไรแต่ละครั้ง ๆ ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเสี่ยงมากมาย
ไม่ว่าของที่ส่งจะเกิดปัญหา เสียหาย อันเนื่องจาก ของส่งช้า อุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม
บางครั้งกำไร ไม่กี่บาทต่อ กก. บางครั้งขาดทุน
เพราะสินค้าที่สั่งแต่ละครั้งที่มีปริมาณสูงที่สามารถทำกำไรได้
ก็เป็นรายการการที่อยู่ในมาตรการพิเศษ ELที่ต้องอาศัยทักษะของแรงงานเป็นปัจจัยหลัก
ดังนั้นการขยายเกลในการทำงานจึงทำได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด จากที่เคยส่งเป็น ร้อย ๆ กิโล
กลับต้องส่งเพียง ๑๐-๒๐ กก. เพราะต้องใช้สายตาคนเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบครั้งสุดท้ายเพื่อให้ปลอดแมลงศัตรูพืช
๑๐๐ % หากหลุดไปที่หน้าด่าน หรือปลายทาง เสี่ยงต่อมาตรการถูกยกเลิก
EL และเป็นผู้ทำรายชื่อเสียงของประเทศ
ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าประเทศในภูมิภาค
มากกว่า 6 % กลับเป็นปัญหาซ้ำเติมผู้ประกอบการ
และตอกย้ำให้การประกอบธุรกิจส่งออกที่กำลังย่ำแย่จากปัญหาค่าแรงที่ นักวิชาการบางคน
เสนอให้ลดดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินทุนไหลเข้า นักวิชาการบางคนกลับบอกว่าดอกเบี้ยต่ำกว่าเพื่อนบ้านแล้วดอกเบี้ยไม่ใช่ประเด็น
แต่หลายคนว่าเป็นประเด็น ดอกเบี้ยต่ำทำไมนักลงทุนถึงมาลง
ก็เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยดีกว่าเพื่อนบ้าน แม้ดอกเบี้ยจะต่ำกว่าเพื่อนบ้าน(แต่สูงกว่าสหรัฐอเมริกา)คนก็ยังมาลงทุน
เพราะโครงสร้างพื้นฐานดีกว่าเพื่อนบ้าน รวมทั้งหากเมืองไทยมีความมั่นคงทางการเมือง
เมื่อนั้นนักลงทุนย่อมมองเมืองไทยน่าลงทุน ดังนั้น การลดดอกเบี้ยและมาตรการอื่นที่ใช่ร่วมกันจึงสามารถช่วยให้เงินบาทอ่อนตัวลงได้
ผู้ส่งออกจึงเป็นแพะรับบาปต่อไป
ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำโดยเฉพาะในสหภาพยุโรปกระทบต่อการบริโภคของคน ประกอบกับปัญหามาตรการการควบคุมพิเศษ
EL เรื่องของสารพิษตกค้าง เรื่องเชื้อจุลลินทรีย
ปัญหาของแมลงศัตรูพืชเป็น จึงกลายเป็น อุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี
(Non-Tariff Barriers: NTB) เป็นปัญหาที่ประเทศคู่ค้าที่จำเป็นต้องปฏิบัติ
ตามกฎระเบียบร่วมกัน ในขณะที่กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปด้วยกันเองกลับไม่เข้มงวด
และนำมาใช้ไม่เท่าเทียมกันกับทุกประเทศ ทั้งในสหภาพยุโรปเอง และในประเทศอื่น ๆ
ที่เป็นคู่แข่งของประเทศไทย...
ปัญหาอื่น ที่เกิดจากมาตรการดังกล่าวจึงตามมา
โดยเฉพาะปัญหาที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขส่งผลให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานหาแนวทางในการปฏิบัติงานที่ง่ายที่สุด
ในเวลาอันจำกัด โดยที่หน้าด่านออกมาตรการ
ในการเปิดตรวจสินค้าให้สอดคล้องกับการสุ่มตรวจปลายทาง
จึงออกระเบียบในการบรรจุสินค้าสำหรับพืชผักที่อยู่ในกลุ่มรายชื่อ EL พืชผัก อยู่ในรายการควบคุม regulated
plants ส่วน non regulated plants
สามารถปนกันได้
รวมถึงพืชผักที่ต้องการของใบรับรองสุขอนามัย สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ
ก็คือห้ามปนพืชผักต่างชนิดกัน มองผิวเผินไม่มีอะไร แต่แท้ที่จริงแล้ว
เป็นต้นทุนที่ซ่อนไว้มากมาย
เพราะพืชทุกชนิดจำเป็นต้องของใบ PC หลายคนบอกไม่จำเป็น
แต่ลูกค้าปลายทางต้องการให้ระบุลงใน PC ทั้งหมด
เพราะเพื่อป้องกันถูกกล่าวหาว่ารักรอบส่งพืชผัก ความเป็นจริงในเชิงพาณิชย์ ลูกค้าปลายทาง
รับสินค้าส่งให้ร้านจำหน่ายรายย่อย
ดังนั้นลูกค้าแต่ละรายจะมีลูกค้าที่ต้องนำส่งสินค้าอีกหลายหลาย
และลูกค้าย่อยมักจะสั่งสินค้าแต่ละครั้งไม่มาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรวมสินค้าหลาย
ๆ ชนิดไว้กล่องเดียวกัน เพื่อง่ายต่อการจัดการ หากต้องบรรจุแยกสินค้าแต่ละชนิด จะทำให้สินค้าที่ไม่ต้องควบคุม
และต้องขอ PC แยกบรรจุกล่อง ทำให้เพิ่มต้นทุนของสินค้านอกเหนือจากพืชผักที่อยู่ในมาตรการ
EL และ Regulated plants ซึ่งเป็นสินค้าที่ช่วยแบ่งเบาภาระในเรื่องต้นทุนของพืชผักที่เข้ามาตรการและพืชควบคุม
เพราะต้นทุนของบรรจุภัณฑ์ และค่าขนส่งที่ต้องใช้วิธีการคิดราคาจากฐานของปริมาตร
แทนการคิด น้ำหนัก ราคาจึงสูงกว่าการนำน้ำหนักมาคิด
ปัญหาดังกล่าวถูกนำมาคิดค้นหาวิธีกันหลากหลายรูปแบบ
การล้าง การลมควัน การคัดเลือกด้วยสายตา เป็นวิธีการเบื้องต้นที่ถูกนำมาใช้
เพราะเพื่อหวังว่าจะเพิ่มยอดที่ตกลงจากภาวะที่เคยเป็นกว่า 60% แต่ก็เป็นไปไม่ได้
เพราะยังมีมาตรการที่กับกำดูแล หากตรวจพบมีบทลงโทษที่รุนแรงถึงขั้นปิดโรงงาน ปริมาณที่จะเพิ่มขึ้นจึงถูกปรามด้วยระเบียบที่เข้มงวด
หลายผู้ประกอบการหาเครื่องล้างที่ทันสมัย ลมควัน ใช้คนจำนวนมากเพื่อคัดเลือก
แต่สุดท้ายก็พลาด เพราะสิ่งเหล่านั้นมิใช่คำตอบสุดท้าย
ความคาดเคลื่อนของมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
กลับไปดูที่แปลง เกษตรกรเองก็เฝ้าดูแลตามขั้นตอน อย่างละเอียด แต่ธรรมชาติเมืองไทย
เขตร้อนชื้น หน้าร้อน หน้าหนาว หน้าฝนมีแมลง เชื้อจุลินทรีย์ เชื้อรา ต่างชนิดกัน
ใช้สารเคมีต้องเป็นไปตามกำหนด แต่ธรรมชาติไม่มีกฎกติกาที่มนุษย์สร้างขึ้น
มีเพียงกฎธรรมชาติที่สมดุล ดังนั้น ปัญหาของธรรมชาติ กับปัญหาที่มนุษย์สร้างจึงไม่สมดุล
และสะสมกลายเป็นปัญหาของสังคมในปัจจุบัน
หลายฝ่ายมองไปถึงอนาคต ว่า การส่งออกผักผลไม้สดในวันข้างหน้า
ที่สุดต้องปลูกผักและผลไม้ในโรงเรือน อันนั้นคือแผนระยะยาวซึ่งทุกฝ่ายคงปฏิเสธไม่ได้
แต่แผนรองรับในเฉพาะหน้า(นานกว่า ๓ ปี) และระยะสั้น อันนี้ยังไม่มีใครคิดและทำ
ปล่อยไปตามยถากรรม ของเกษตรกร และผู้ประกอบการ และเมื่อเกษตรกร และผู้ประกอบการดิ้นหนีน้ำเพื่อความอยู่รอด
กลับกลายเป็นทำรายชื่อเสียงของประเทศ
วันนี้
พืชผักผลไม้ไทยที่ส่งไปขายในสหภาพยุโรป กำลังเดินเข้าสู่ทางตัน เพราะ
ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขในระดับชาติ หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบ
ภาคเอกชนคือผู้ประกอบการ เกษตรกรเครือขาย ไม่สามารถแก้ไขได้ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นได้เอง
เพราะไม่ว่าจะความไม่เท่าเทียมกันของสหภาพยุโรปกับประเทศที่ส่งผักผลไม้เข้าไปนั้น ไม่ใช้มาตรการที่เหมือนกัน
และเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดปัญหาการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาภายในประเทศที่ใช้มาตรฐานแตกต่างกันในเรื่องของความปลอดภัย
การกำกับดูแลที่ไม่เท่าเทียมกัน
จึงทำให้เกษตรกรเองมีทางเลือก เช่น ระบบ GMP ของเกษตรกรที่ผลิต และขาย ยังมีความแตกต่างกัน ผู้ที่ไม่ทำก็สามารถส่งออกได้บางประเทศ
หรือขายในประเทศได้ ทำให้มีทางเลือกที่จะไม่ปฏิบัติ และยังสามารถขายได้ในราคาใกล้เคียงกัน
ไม่มีใครกล้าแตะเกษตรกรเพราะมองว่าเป็นฐานรากของกลุ่มการเมือง
มาตรควบคุมพิเศษระบบบัญชีรายชื่อโรงคัดบรรจุ(Establishment List : EL) เป็นมาตรการดี ที่ยากต่อใครจะปฏิเสธ แต่หากถูกนำมาใช้อย่างไม่เท่าเทียมและเสมอภาค
ไม่มีมาตรการรองรับอย่างเป็นระบบ ไม่มีมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนช่วยเหลืออย่างจริงจังทั้งที่มีกรมที่มีหน้าที่รับผิดชอบ
ไม่มีการพัฒนาค้นหานวัตกรรมเครื่องมือใหม่มาทดแทนและตรวจสอบอย่างมีระบบ ขาดทีมงานมืออาชีพในการเจรจาต่อรองและต่อเนื่อง
ไม่มีการวางแผนเฉพาะหน้า ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวร่วมกันกับภาครัฐทุกหน่วยงาน(ต่างกรม
ต่างกระทรวง ต่างความคิด ต่างวิธีการปฏิบัติ) ขาดการมีส่วนร่วมจากภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง หาก ยังขาดการบูรณาการทุกหน่วยงาน
และดำเนินการอย่างเป็นเอกภาพในระดับชาติแล้ว อนาคตอันใกล้นี้พืชผักผลไม้ไทยที่เคยโด่งดังเป็นดาวเด่นในสหภาพยุโรป
นโยบาย ครัวไทยสู่ครัวโลกที่ถูกกำหนดเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ก็ต้องถึงกาลอวสานหรือจะปล่อยให้ผักผลไม้สดของไทย...ฤาจะเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันในครั้งหนึ่งเมื่อท่านเดินทางไปสหภาพยุโรปเพียงเท่านั้นเองหรือ...
............................................................................
ขอขอบคุณบริษัท พีดีไอ เทรดดิ้ง จำกัด ที่รวบรวมข้อมูลรายการพืชควบคุมทุกประเภท
เพื่อใช้ประกอบการเขียนบทความครั้งนี้